วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ประวัติศาสตร์ประเทศลาว

ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์เมื่อประมาณ 4,000 – 5,000 ปีก่อน กลุ่มชนที่พูดภาษาไตได้อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศลาวและที่ราบสูงในภาคอีสาน รวมถึงพวกไท- กะได ม้ง-เมี่ยนที่เป็นบรรพบุรุษของชาวลาวลุ่ม และพวกม้ง-เย้าที่อพยพจากตอนใต้ของประเทศจีน แรกเริ่มกลุ่มชนเหล่านี้ไม่มีการตั้งหลักแหล่งที่แน่นอน ต่อมาเมื่อชนเผ่าต่างๆ ทั้งไท พม่า และเวียดนามอพยพลงมาในเขตเทือกเขาและหุบเขาของดินแดนเอเชียอาคเนย์ ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของชนชาติมอญ-เขมร ความจำเป็นในการสร้างบ้านแปงเมืองก็เริ่มมีขึ้นจนพัฒนาต่อมาเป็นเมืองเกษตรกรรม และตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณหุบเขาและที่ราบลุ่มภายใต้อำนาจของอาณาจักรเขมร
ต่อมาในปี พ.ศ.1896 พระเจ้าฟ้างุ้มทรงทำสงครามตีเอานครเวียงจันทน์หลวงพระบาง หัวเมืองพวนทั้งหมด ตลอดจนหัวเมืองอีกหลายแห่งในที่ราบสูงโคราชเข้ารวมเป็นอาณาจักรเดียวกัน ภายใต้การช่วยเหลือของกษัตริย์เขมร ก่อตั้งเป็นอาณาจักรล้านช้างขึ้นบนดินแดนที่ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างลุ่มแม่น้ำโขงกับเทือกเขาอันหนำ มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองเชียงดง-เชียงทอง เป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองในทุกด้าน หลังจากสถาปนาเมืองเชียงดง-เชียงทอง แล้ว พระเจ้าฟ้างุ้มทรงรับพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ (นิการเถรวาท) จากราชสำนักเขมรมาเป็นศาสนาประจำชาติ และได้อัญเชิญพระบาง เป็นพระพุทธรูปศิลปะสิงหลจากราชสำนักเขมรมายังล้านช้าง เจ้าฟ้างุ้มทรงเปลี่ยนชื่อเป็น “เมืองหลวงพระบาง” เมื่อพระเจ้าฟ้างุ้มสิ้นพระชนม์ พระยาสามแสนไทไตรภูวนาถ โอรสของพระเจ้าฟ้างุ้มได้ขึ้นครองราชย์ต่อ อาณาจักรล้านช้างเริ่มตกต่ำลงเพราะสงครามแย่งชิงอำนาจและเกิดกบฏต่างๆ นานนับร้อยปี
จนถึง พ.ศ. 2063 พระโพธสารราชเจ้าขึ้นครองราชย์ และรวบรวมแผ่นดินขึ้นใหม่ให้เป็นปึกแผ่น และให้ย้ายเมืองหลวงของอาณาจักรล้านช้างไปอยู่ที่เมืองเวียงจันทน์ เพื่อให้ไกลจากการรุกรานของสยาม และสร้างความเจริญให้กับอาณาจักรล้านช้างเป็นอย่างมากและทรงมีสายพระเนตรยาวไกล ทรงโปรดให้พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชพระราชโอรสไปครองอาณาจักรล้านนา เพื่อเป็นการคานอำนาจพม่า ครั้นเมื่อพระเจ้าโพธิสารราชเจ้าเสด็จสวรรคต พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชเสด็จกลับมาล้านช้าง และทรงอัญเชิญพระแก้วมรกตจากเชียงใหม่ไปยังเวียงจันทน์ ในรัชสมัยของพระองค์พระพุทธศาสนาทรงมีความเจริญรุ่งเรืองมาก ทรงสร้างวัดพระธาตุหลวง หรือที่เรียกว่า “พระธาตุเจดีย์โลกจุฬามณี” และสร้างวัดพระแก้วขึ้นเพื่อประดิษฐานพระแก้วมรกต และ พระองค์มีความสัมพันธไมตรีที่แนบแน่นกับกษัตริย์ไทย โดยเฉพาะในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช รัชสมัยของพระองค์นับเป็นยุคทองของราชอาณาจักรล้านช้าง

ภายหลังเมื่อพระองค์สวรรคตแล้ว เชื้อพระวงศ์ลาวต่างก็แก่งแย่งราชสมบัติกัน จนอาณาจักรล้านช้างแตกแยกเป็น 3 ส่วนคือ อาณาจักรล้านช้างหลวงพระบาง อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์และอาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์ ต่างเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กัน และเพื่อชิงความเป็นใหญ่ต่างก็ขอสวามิภักดิ์ต่อเมืองเพื่อนบ้านเช่นไทย พม่า เพื่อขอกำลังมาสยบอาณาจักรลาวด้วยกัน จนถึง พ.ศ. 2322 กองทัพสยามเข้ายึดครองแผ่นดินล้านช้างที่แตกแยกออกเป็น 3 อาณาจักรได้ทั้งหมด ครั้นถึงปี พ.ศ. 2365 เจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ทรงวางแผนก่อกบฏเพื่อกอบกู้เอกราช แต่ไม่สำเร็จถูกตัดสินโทษประหารชีวิต กองทัพสยามในรัชกาลที่ 3 ยกมาตีนครเวียงจันทน์ได้รื้อทำลายกำแพงเมือง เอาไฟเผาราบทั้งเมือง



ข้อมูลทั่วไป

ข้อมูลทั่วไป
สิงคโปร์ตั้งอยู่กลางสี่แยกของโลกทำเลอันยอดเยี่ยมนี้ทำให้สิงคโปร์เติบโตจนเป็นศูนย์กลางการค้าการสื่อสารและการท่องเที่ยวสำคัญของโลกตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของที่นี่คือ 136.8 กม.เหนือเส้นศูนย์สูตรโดยตั้งอยู่ระหว่างเส้นแวงที่ 103 องศา 38 ลิปดาตะวันออกกับเส้นแวงที่ 104 องศา 06 ลิปดาตะวันออกเกาะแห่งนี้เชื่อมต่อกับมาเลเซียด้วยสะพานข้ามทะเลสองสายคุณสามารถเดินทางจากที่นี่ไปเกาะหลักของหมู่เกาะเรียว(Riau) ประเทศอินโดนีเซียได้โดยเรือข้ามฟากเป็นระยะทางสั้นๆหรือจะขึ้นเครื่องบินเพียงครู่เดียวก็ถึงประเทศไทยและฟิลิปปินส์แล้ว สิงคโปร์มีสนามบินหนึ่งแห่งที่ให้บริการแก่สายการบินมากกว่า 69สายที่นี่คือประตูสู่ภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ประชากรของสิงคโปร์มีจำนวนเกือบ 4 ล้านคน ประกอบด้วยคนจีน 77% มาเลย์ 14% อินเดีย 8% และอีก 1% เป็นลูกครึ่งยุโรปเอเชียและเผ่าพันธุ์อื่นๆผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมของที่นี่คือชาวประมงเชื้อสายมาเลย์ แต่หลังจากที่เซอร์สแตมฟอร์ดแรฟเฟิลมาที่นี่และมีการสร้างสถานีค้าขายของอังกฤษสิงคโปร์ก็กลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้อพยพและพ่อค้ามากมายพวกเขาเหล่านั้นเสาะหาชีวิตที่ดีกว่าให้กับตนเองและครอบครัว คนเหล่านี้เดินทางมาจากทางตอนใต้ของจีน อินโดนีเซีย อินเดีย ปากีสถาน ลังกา และตะวันออกกลาง ถึงแม้ว่าจะมีการแต่งงานระหว่างเผ่าพันธุ์เกิดขึ้นตลอดทั้งปีแต่กลุ่มเชื้อชาติในสิงคโปร์ก็ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนเอาไว้ในขณะเดียวกันก็พัฒนาไปในฐานะส่วนประกอบหนึ่งของชุมชนสิงคโปร์สิงคโปร์ประกอบด้วยเกาะหลักหนึ่งเกาะ และเกาะขนาดจิ๋วล้อมรอบอีก 63 เกาะ เกาะหลักมีเนื้อที่พื้นดินรวม 682 ตารางกิโลเมตรอย่างไรก็ตามขนาดอันเล็กกะทัดรัดนี้กลับสวนทางกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในช่วงเวลาเพียง 150 ปี สิงคโปร์ก็เติบโตจนกลายเป็นศูนย์กลางการค้าและอุตสาหกรรมที่มั่งคั่ง บทบาทในอดีตในฐานะจุดพักสินค้านั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว เนื่องจากประเทศสิงคโปร์มีฐานการผลิตแบบอุตสาหกรรมในประเทศของตนแล้วสิงคโปร์เป็นท่าเรือที่พลุกพล่านที่สุดในโลก มีบริษัทเดินเรือกว่า 600 รายส่งเรือบรรทุกน้ำมันขนาดยักษ์ เรือบรรทุกตู้สินค้า และเรือโดยสารประเภทต่างๆมาเพื่อแบ่งปันการใช้น่านน้ำอันวุ่นวายแห่งนี้ นอกจากนี้ยังมีเรือหาปลาตามชายฝั่งและเรือท้องแบนที่ทำจากไม้อีกด้วยสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางการกระจายและกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของโลก และยังเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเป็นผู้นำด้านการต่อเรือและการซ่อมเรือ นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปเอเชีย ที่นี่มีธนาคารมากกว่า 130 แห่งการเจรจาทางธุรกิจจะดำเนินไปได้อย่างสะดวกรวดเร็วด้วยเครือข่ายการสื่อสารที่ยอดเยี่ยมของสิงคโปร์ ที่เชื่อมต่อประเทศนี้เข้ากับโลกส่วนที่เหลือผ่านทางดาวเทียมพร้อมด้วยระบบโทรเลขและโทรศัพท์ตลอด 24ชั่วโมง ทำเลทางยุทธศาสตร์ของสิงคโปร์สถานที่และอุปกรณ์อันยอดเยี่ยม ความแตกต่างทางวัฒนธรรมอันน่าทึ่งและสถานที่ท่องเที่ยวสิ่งเหล่านี้ล้วนมีส่วนช่วยให้สิงคโปร์ประสบความสำเร็จในฐานะผู้นำทั้งในด้านธุรกิจและความบันเทิง


 

ข้าวมันไก่สิงคโปร์

ข้าวมันไก่สิงคโปร์
อาหรขึ้นชื่อ ข้าวมันไก่ สิงคโปร์ ที่ไม่เหมือนใคร
อาหารที่ขึ้นชื่อของสิงคโปร์ คงไม่พ้น ข้าวมันไก่ สิงคโปร์ ที่เสริฟเป็นอาหารจานแยก เนื้อไก่สุดนุ่ม ผสมกับน้ำจิ้มรสเด็ด หากท่านมาเยือนสิงคโปร์แล้วไม่ควรพลาดที่จะหารับประทาน
ร้านขึ้นชื่อที่ได้รับความนิยมว่าถ้ามาแล้วต้องไปพิสูจน์ความอร่อย คือ ร้านบุญท่องกี่ (BOON TONGKEE)
นอกเหนือจากนี้ก็ยังมีเมนูเด็ดอื่นๆอีก เช่น บักคุดเท (บักกุ๊ดเต๋), ปูผัดพริกไทยดำ,
โรตีพราตา, สาเทย์ (หมูหรือไก่สะเต๊ะ) เป็นต้น
ร่วมสนุกกับตัวการ์ตูน Walt Disney
เครื่องเล่นโซน Madagascar A CrateAdventure ร่วมเก็บความประทับใจกับการสัมผัสเป็นส่วนหนึ่งของตัวการ์ตูนโลกแห่งจินตนาการอย่างมีความสุข สนุกสนาน ผ่อนคลายเต็มที่ประหนึ่งกลับบมาเป็นเด็ก

โรงละครเอสพลานาด (Esplanade)


โรงละครเอสพลานาด (Esplanade)
โรงละครบนชายหาดเป็นหนึ่งในศูนย์แสดงศิลปะที่ได้รับความนิยมที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง เปิดตัวอย่าง เป็นทางการเมื่อ 12 ตุลาคม 2002 เดิมนั้นเปิดในปี 1943 โดยตั้งอยู่บนสวนซึ่งตอนนี้นั้นมี พื้นที่ 2.4 เฮคเตอร์ (ประมาณ 24,000 ตารางเมตร) ริมถนนคอนนอท (Connaught Drive) โดยตั้งอยู่ตรงข้ามซิตี้ ฮอลล์ (City Hall) ในปี 1985 รัฐบาลได้มีโครงการที่จะสร้างศูนย์แสดงศิลปะขึ้นในสิงคโปร์และลงความเห็นว่าเอสพลานาดนั้นเป็นสถานที่ที่เหมาะสม ที่สุด เอสพลานาดในรูปแบบเดิมจึงถูกปรับปรุงใหม่ในปี 1991 เพื่อความสวยงามของเขตซิวิค ดิสตริก (Civic District) และเพื่อเป็น ศูนย์แสดงศิลปะ ในปี 1992 ทีมงานสถาปนิกซึ่งประกอบด้วยบริษัท DP อาร์คิเทค (DP Architechs) (สิงคโปร์)และ ไมเคิล วิลฟอร์ด แอนด์ พาร์ทเนอร์ (Michael Wilford & Partners) (สหราชอาณาจักร) ได้ ถูกเลือกมาให้ออกแบบศูนย์นี้ เพื่อเป็นสัญลักษ์แห่งการเชื่อมต่ออัน ทรงคุณค่าระหว่างอดีตและปัจจุบัน
ศูนย์แสดงศิลปะแห่งนี้จึงถูก เรียกว่าเอสพลานาด - โรงละครบนหาดทราย ในปัจจุบัน สัญลักษณ์แห่งสถาปัตยกรรมที่มีรูปแบบเหมือนหอยเชลล์สองตัวแห่งนี้นั้นตั้งอยู่ในเขตซีวิค ดิสตริก(Civic District) ของสิงคโปร์ อยู่เคียงข้างกับอ่าวมาริน่า เบย์ที่ปากแม่น้ำสิงคโปร์ เอสพลานาดนั้นประกอบไปด้วยห้องแสดงขนาดใหญ่สองห้อง คือห้องแสดงคอนเสิร์ตขนาด 2,000 ที่นั่ง และขนาด 1,600 ที่นั่ง และมีสตูดิโอขนาด เล็กอีกสองห้องทั้งในและนอกอาคารโดมที่เป็นโรงละครและห้องแสดงคอนเสิร์ตขนาดใหญ่ทั้งสองห้องนี้ถูกออก แบบมาให้สร้างขึ้นด้วยกระจกเพื่อสื่อถึงความรู้สึกแห่งความเปิดกว้าง เพื่อทำให้ศูนย์แห่งนี้เย็นสบายจากอากาศใน เขตร้อน ได้มีการติดตั้งแผ่นบังแดดที่ทำจากอลูมิเนียมและกระจกเคลือบสองชั้นเข้ากับโครงหลังคาที่ทำจากเหล็ก ทำให้ศูนย์แห่งนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมที่มีความโดดเด่นตัดกับเส้นขอบฟ้าของสิงคโปร์เป็นอย่าง มาก เหล็กแหลมที่ปกคลุมศูนย์แห่งนี้ทำให้มันได้รับการเรียกขานตามชื่อของผลไม้ยอดนิยมของสิงคโปร์ว่า เดอะ ดู เรียน (ทุเรียน)

ท่าเรือคลาร์ก (Clarke Quay)



ช้อปปิ้ง กินดื่ม แล้วสนุกที่ริมแม่น้ำสายนี้! จุดเด่นของที่นี่คือโกดังเก็บของที่ซ่อมแซมแล้วจำนวน 5 ช่วงตึก ท่าเรือคลาร์ก (Clarke) คือทางเลือกที่แหวกแนวไปจากแหล่งท่องเที่ยวทั่วๆไป ที่นี่มีร้านขายของมือสองและของเก่า ตลาดนัดที่ขายของมือสองในวันอาทิตย์และร้านอาหารที่มีอาหารและเครื่องดื่มให้เลือกมากมาย ตกเย็นคุณก็ไปที่เธคและผับเพื่อสนุกกับเพลงมากมายตั้งแต่ยุคซิกตี้จนถึงปัจจุบัน หรือจะหวาดเสียวไปกับรีเวอร์สบันจี้ G-Max ของเรา! ออกแบบและพัฒนาในนิวซีแลนด์เมื่อแปดปีที่แล้ว G-Max เป็นเครื่องเล่นแบบนี้อันแรกสุดของสิงคโปร์ วิธีการก็คือ คนสามคนจะนั่งอยู่ในแคปซูลเสริมเหล็กกล้าแบบเปิดโล่งที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ ยึดติดกับสายรีเวอร์สบันจี้ที่ติดกับเสาสองต้น สายบันจี้ของเราผ่านการรับรองจากสหรัฐอเมริกาแล้ว จากนั้นสายก็จะถูกดึงแล้วปล่อย ทำให้แคปซูลถูกดีดไปในอากาศสูงถึง 60 เมตรที่ความเร็ว 200 กม.ต่อชั่วโมง รอบหนึ่งจะเด้งอยู่ราว 5 นาที
ท่าเรือแห่งนี้ตั้งชื่อตามเซอร์ แอนดรูว์ คลาร์ก ผู้ว่าคนที่สองของสิงคโปร์ ท่าเรือ Clarke Quay แห่งนี้เคยเป็นศูนย์กลางด้านการค้าขายที่นี่เคยมีเรือท้องแบนจำนวนมหาศาลทำการขนส่งสินค้าทวนน้ำไปที่โกดังสินค้า ใกล้ๆกับทางเข้าท่าเรือคลาร์กที่ถนนริเวอร์แวลเลย์ คุณจะเห็นโรงน้ำแข็งแวมโป (Whampoa's Ice House) ซึ่งเป็นของนายฮูอาเคย์ (Hoo Ah Kay) ผู้อพยพยุคแรกจากแวมโป ประเทศจีน เขาเป็นคนนำเข้าน้ำแข็งจากบอสตันในช่วงกลางศตวรรษที่ 18 ก่อนที่จะมีเครื่องทำน้ำแข็งในประเทศสิงคโปร์ คุณจะสังเกตเห็นว่าพ่อค้าชาวจีนและชาวยุโรปต่างก็นำรูปแบบทางสถาปัตยกรรมของตนเข้าสู่บริเวณนี้ 

มารีน่า เบย์ แซนด์

มารีน่า เบย์ แซนด์ (Marina Bay Sand)
รีสอร์ทหรูใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์
มารีน่า เบย์ แซนด์ส ประกอบไปด้วยห้องพักและห้องสูทกว่า 2,561 ห้อง อีกทั้งโรงแรมยังมีไฮไลท์ คือ The Sands SkyPark ตั้งอยู่ชั้นที่ 57 ของโรงแรม เป็นสถาปัตยกรรมรูปร่างคล้ายเรือตั้งอยู่บนอาคารทั้ง3 แซนด์ส สกาย พาร์คนี้ถือว่าเป็นสวนลอยฟ้าขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีพื้นที่กว้างขวางกว่า 12,400 ตร.ม. และจัดเป็นสวนลอยฟ้าที่มีความสูง 200 ม. ใช้หลักการเดียวกับวิศวกรรมสร้างสะพาน เชื่อมอาคารทั้ง 3 เข้ากัน ถือว่าเป็นสวนลอยบนชั้นดาดฟ้าที่ใหญ่ที่สุดของเอเชีย มีความยาวกว่าความสูงของหอไอเฟลบนสวนได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม มีต้นไม้ใหญ่ 250 ต้น และไม้ประดับอีก 650 ต้น มีร้านอาหารที่หรูหรา รวมถึง The Sky on 57 ที่จะมีเชฟชื่อดังจากสิงคโปร์ เชฟ Justin Quekเป็นผู้ควบคุมดูแลร้านอาหาร มีดาดฟ้าที่งดงามให้นักท่องเที่ยวได้มองวิวสิงคโปร์ได้โดยรอบในมุมสูง และยังมีสระว่ายน้ำขนาด 150 ม. เป็นสระว่ายน้ำกลางแจ้งบนที่สูงที่ใหญ่สุดที่ในโลกอีกด้วย

น้ำพุแห่งความมั่งคั่ง

น้ำพุแห่งความมั่งคั่ง (Fountain of Wealth) ตำแหน่งของน้ำพุแห่งความมั่งคั่ง ตั้งอยู่ตรงใจกลางระหว่างหมู่อาคาร Suntec City หรืออยู่ใจกลางฝ่ามือซึ่งหงายขึ้นนั่นเอง ก็เพราะมีความเชื่อว่าน้ำไหลของน้ำพุเปรียบเสมือนกับเงินทองที่ไหลเข้าฝ่ามือไม่หยุดหย่อนน้ำพุแห่งความมั่งคั่ง(Fountain of Wealth)
เป็นน้ำพุที่ใหญ่ที่สุดในโลก น้ำพุแห่งความมั่งคั่งสร้างขึ้นในปีพ.ศ.2540(ค.ศ. 1997)และ Guinness Book ได้ทำการจดบันทึกสถิติไว้ในปี พ.ศ.2541 ว่าเป็นน้ำพุที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตัวน้ำพุทำเป็นสีบรอนซ์และประกอบด้วยวงแหวนกลมที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 66 เมตร ความสูง 13 เมตร บริเวณฐานของน้ำพุมีพื้นที่ 1,683 ตารางเมตร นอกจากนี้ยีงมีการแสดงน้ำพุประกอบแสง สีเสียง 3D Laser ซึ่งมีความสวยงามเป็นอย่างมากใครที่มีโอกาสที่ได้เดินรอบฐานกลางของน้ำพุสามครั้งและสัมผัสน้ำทุกครั้งก็จะรับความโชคดีและมีความมั่งคั่งในทรัพย์สินตามมา ขั้นตอนการสัมผัสน้ำจะต้องใช้มือขาวสัมผัสน้ำและอธิษฐาน จากนั้นเดินวนตามเข็มนาฬิกาให้ได้ 3 รอบ คำอธิษฐานก็จะเป็นผล อันนี้ฟังเขามา สำเร็จหรือไม่ลองพิสูจน์ดูนะค่ะ
สำหรับตารางเวลาในการแสดงเปิดให้เข้าชม
09:00 - 22:00 น.
แสดงเลเซอร์โชว์
20:00 น. ,20:30 น. ,21:00 น. (3 รอบเท่านั้น)
เปิดให้สัมผัสน้ำ 09:00 น. - 12:00 น.
14:30 น. - 18:00 น.
19:00 น. - 19:45 น.
21:30 น. - 22:00 น.
ด้วยสาเหตุนี้น้ำพุแห่งความมั่งคั่งจึงได้รับความนิยมและโด่งดังมาก จนมีนักท่องเที่ยวทั่วโลกโดยเฉพาะชาวจีน ด้วยความเชื่อตามโหงวเฮ้งฮวงจุ้ย เพื่อความเป็นสิริมงคลจึงมีผู้คนมาเที่ยวชมกันล้นหลาม

เมอร์ไลออนหรือสิงโตทะเล

เมอร์ไลออน หรือ สิงโตทะเลถูกออกแบบขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของคณะกรรมการการท่องเที่ยวของสิงคโปร (Singapore Tourism Board - STB) ในปี 1964 – รูปปั้นนี้มีหัวเป็นสิงโต ร่างเป็นปลา ยืนอยู่บนยอดคลื่น ต่อมาไม่นานทั่วโลกก็ถือกันว่าสิงโตทะเลตัวนี้คือเครื่องหมายประจำชาติสิงคโปร์
แต่เดิมรูปปั้นนี้ตั้งอยู่ที่สวนสิงโตทะเล (Merlion Park) ข้างๆสะพานเอสพลาเนด (Esplanade Bridge) แม่สิงโตและลูกสิงโตได้กลายเป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยว มีการจัดพิธีติดตั้งสิงโตทะเลในวันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 1972 โดยมีประธานในพิธีคือนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ ณ เวลาดังกล่าว ซึ่งก็คือ นายลี กวน ยู
สิงโตตัวนี้สูง 8.6 เมตร มีน้ำหนัก 70 ตัน ทำจากวัสดุจำพวกซีเมนต์ โดยช่างฝีมือชาวสิงคโปร์ผู้เสียชีวิตไปแล้วที่ชื่อนายลิมนังเซ็ง ส่วนรูปปั้นสิงโตทะเลตัวที่สองจะมีขนาดเล็กกว่า ขนาดสูง 2 เมตรและหนัก 3 ตัน ก็ถูกสร้างขึ้นโดยนายลิมเช่นกัน ตัวสิงโตทำจากวัสดุจำพวกซีเมนต์ ผิวหนังทำจากแผ่นกระเบื้อง และตาทำจากถ้วยชาสีแดงขนาดเล็ก

เกาะเซ็นโตซ่า


เกาะเซ็นโตซ่า(Sentosa)
เกาะแห่งความสนุกของการท่องเที่ยว เมื่อก่อน เกาะเซ็นโตซ่า (Sentosa) ชื่อว่าเกาะแห่งความตาย แต่เดิมเกาะแห่งนี้เป็นหมู่บ้านของชาวประมง และต่อมาเกิดโรคระบาด คนบนเกาะจำนวนมากต้องเสียชีวิตลง จึงได้มีการตั้งชื่อเกาะตามภาษามาลายูว่า บลากัง มาติ (Balakang Mati) ซึ่งหมายถึงเกาะแห่งความตาย ต่อมาสมัยสงครามโลก อังกฤษได้เข้ามาทำเกาะนี้เป็นป้อมปราการเพื่อป้องกันการโจมตีทางน้ำ เมื่ออังกฤษถอนทัพไปในปี 1968 รัฐบาลสิงคโปร์จึงได้ปรับปรุงเกาะให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและเปลี่ยนชื่อเกาะเป็นเซ็นโตซ่า (Sentosa) ซึ่งหมายถึงสันติภาพและความสงบสุข และเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการในปี 1972 เป็นต้นมา
การเดินทางมาเกาะเซ็นโตซ่า จะสามารถเดินทางมาได้ทั้งหมด 3 ทาง คือ Sentosa Express (รถไฟ), Cable Car (กระเช้าลอยฟ้า) และ รถประจำทาง

การเดินทางโดย Sentosa Express จะใช้เวลาเดินทางเพียง 4 นาทีเท่านั้น โดยจะต้องไปซื้อบัตรรถไฟลอยฟ้าที่ห้าง Vivo City ชั้น 3 โดยให้บริการตั้งแต่ 7:00 - 24:00 น.ค่าโดยสารคนละ 3 SGD บัตรสามารถใช้ได้ทั้งขาไปและขากลับ และ เมื่อใช้เสร็จแล้วไม่ต้องคืน เก็บไว้เป็นที่ระลึกได้เลย
เพียงแค่ 4 นาทีก็มาถึงเกาะเซ็นโตซ่าแล้ว เราสามารถเลือกลงได้ 2 สถานี คือ Imbiah station และ Beach station ซึ่งเราสามารถดูได้จากแผนที่ของเกาะเซ็นโตซ่าว่าเราต้องการไปเที่ยวจุดไหนก่อน เราก็ลงที่สถานีใกล้ๆ กับจุดที่เราจะไป



ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ (UNIVERSAL STUDIO)
ดินแดนมหาสนุก...ท่องโลกจินตนาการ มีเครื่องเล่นมากมายทั้งหมด 7 โซน
เปิดบริการ 09:00 – 18:00 (เล่นกี่รอบกี่
ได้ตามใจชอบ) ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ สิงคโปร์ ในพื้นที่ 49 เอเคอร์ในเกาะเซ็นโตซ่า รายล้อมด้วยความเขียวชอุ่ม
ของทะเลสาบ มีรีสอร์ทห้องพัก 1,800 ห้องจากโรงแรมระดับหรู 6 ดาวที่หลากหลายรูปแบบ มีทั้งยังมี คาสิโน
เปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งอยู่ที่โรงแรม Crockford Tower
1) Battlestar Galactica เครื่องเล่นรถไฟเหาะตีลังการางคู่ที่สูงที่สุดในโลก
2) Far Far Away Castel ปราสาทแห่งวีระบุรุษ เชร็คและเจ้าหญิงฟิโอน่า
3) Madagascar A CrateAdventure เป็นการนั่งเรือผจญภัยชมสัตว์ต่างๆ เสมือนท่านกำลังอยู่ในภาพยนตร์เรื่อง Madagascar
4) Revenge of The Mummy ขุดหาสมบัติของฟาโรห์ และค้นหาปริศนาแห่งมัมมี่
5) Water World ชมการแสดงกิจกรรมผาดโผนต่างๆ จากภาพยนตร์ชื่อดัง แสดงจริง แสง สี เสียง จริง ท่านจะตื่นเต้นประทับใจไม่รู้ลืม
6) Jurassic Park Rapids Adventure ผจญภัยในดินแดนไดโนเสาร์, เหล่าสัตว์โลกล้านปี
7) Hollywood Boulevard สัมผัสโรงละครสไตล์บรอดเวย์ ฮอล ลีวู๊ด วอล์ออฟ เฟรม ศูนย์รวมแห่งความ บันเทิงของจักรวาลอย่างแท้จริง
(อาหารกลางวันอิสระเพื่อให้ท่านได้สนุกอย่างเต็มที่)
อาหารให้เลือกมากมาย กว่า 56 ร้าน หลากหลายสไตล์ ทั้งในส่วนของยูนิเวอร์แซล และในส่วนของ Festive Walk, New York Town, Food Court Center) หลังจากความสนุกสนานจบลงเรียบร้อยแล้ว ขอเชิญท่านเดินเล่นใน Festival Walk เปิดตลอด 24 ชั่วโมง สนุกกับการ ช้อปปิ้ง สินค้ามากมาย เช่นตัวการ์ตูน ของฝากที่ระลึก 

วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2556

  • นอกจากการเข้าเยี่ยมชมโรงเรียนกาสรกสิวิทย์แล้วแล้ว ขอเชิญเข้าร้านกาแฟ ‘ควายคะนอง’ ซึ่งมีเครื่องดื่มไว้คอยบริการดับกระหายคลายร้อนอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น กาแฟร้อน กาแฟเย็น ช็อคโกแลตร้อน ช็อคโกแลตเย็นขาย นอกจากนี้ยังมีอาหารจานเดียวไว้บริการอีกด้วย โดยบรรยากาศภายในร้านตกแต่งได้อย่างสวยงามและเป็นธรรมชาติ และเป็นจุดชมวิวที่จะสามารถชมทิวทัศทัศน์อันงดงามของโรงเรียนกาสรกสิวิทย์ได้อย่างทั่วถึงเลยทีเดียว

วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ตลาดเก้าห้อง 100 ปี

ตลาดเก้าห้อง 100 ปี
   ตลาดเก่าริมแม่น้ำ รูปแบบที่กำลังสูญหาย หรือคงอยู่ เรือนไม้ปลูกติดต่อกัน เรียงเป็นแถวยาว เรือนที่ในอดีตใช้เป็นที่ค้าขาย แลกเปลี่ยนสินค้า สถานที่ค้าขายของชุมชนไทย-จีน วันเวลาผ่านกว่า 100 ปี หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไป เรือนไม้เริ่มผุพัง ชีวิตต้องการความสะดวกสบายเพิ่มขึ้น วิถีชีวิตในบ้านไม้หลังเก่า เริ่มเลือนหายไป...  วันนี้ ...รูปแบบและวิถีชีวิตเหล่านั้น มีโอกาสที่จะย้อนกลับมา จะด้วยกระแส หรือความรู้สึกที่เรียกร้องวันเวลาเก่าๆก็ตามที แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะได้รับ.... คือบันทกของประวัติศาสตร์ ป็นบันทึกที่มีชีวิต เต็มไปด้วยเรื่องราว สีสัน และฉากหลังที่สวยงาม และจะเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ ที่เราทุกคนช่วยกันสร้างขึ้น....
ตลาดเก้าห้อง    เป็นตลาดห้องแถวเก่าแก่ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำท่าจีน อายุประมาณ 100 ปี สร้างประมาณต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปัจจุบันตั้งอยู่ ในเขตเทศบาลตำบล บางปลาม้า หมู่ที่ 2 ตำบลบางปลาม้า อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี จากเอกสารที่มีผู้เขียนเกี่ยวกับประวัติตลาดเก้าห้อง และจากคำบอกเล่าของผู้สูงอายุ
คำว่า ”ตลาดเก้าห้อง” น่าจะนำมาจากชื่อของบ้านเก้าห้อง ซึ่งเป็นบ้านโบราณมีประวัติสืบทอดมายาวนาน   ตลาดเก้าห้องเล่ากันว่าสร้างขึ้นโดยชาวจีนคนหนึ่งชื่อ “นายฮง“ อพยพมาจากกรุงเทพฯ มาทำมา ค้าขายอยู่บริเวณละแวกบ้านเก้าห้อง กิจการค้ารุ่งเรืองดี ในราว พ.ศ. 2424 ได้แต่งงานกับ “นางแพ” ซึ่งเป็นหลานสาวของขุนกำแหงฤทธิ์แห่งบ้านเก้าห้อง และได้ประกอบอาชีพค้าขายที่แพซึ่งสร้างขึ้นไว้ 1 หลัง จอดอยู่ริมน้ำหน้าบ้านเก้าห้อง ซึ่งในสมัยก่อนเป็นย่านค้าขายที่มีเรือนแพขายของสองฝั่งแม่น้ำ นายฮง หรือที่ชาวบ้านมักนิยมเรียกว่า “เจ๊ก-รอด” ทำการค้าขายสินค้าทุกประเภทโดยเฉพาะเครื่องบวช เครื่องมืออุปกรณ์ทำนาและเครื่องอุปโภคบริโภคทั้งหลายจนร่ำรวยและรู้จักกันในนามต่อมาว่า “นายบุญรอด เหลียงพานิช” 
....... ดูข้อมูลเพิ่มประวัติอีกด้านหนึ่งกล่าวว่า   ครั้งสมัยพม่ายกทัพเข้าไปรุกรานชาวเวียงจันทร์ ชาวลาวจากเวียงจันทร์ได้พาครอบครับหนีพม่า แตกกระเจิงไปตามที่ต่างๆ บางพวกก็หนีเข้ามาจนถึงเมืองสุพรรณ และแยกย้ายไปอยู่เป็นกลุ่มๆ ตามที่ต่างๆ มีพวกหนึ่งนำโดย ขุนกำแหงฤทธิ์ ที่มีความสามารถ เป็นที่นับถือของชาวลาว อพยบมา มาทางบางปลาม้า เห็นทำเลดี มีแม่น้ำท่าจีนใหลผ่าน จึงช่วยกันหักร้างถางพง ทำไร่ทำนากลายเป็นกลุ่มใหญ่ขึ้น ขุนกำแหงฤทธิ์ กับชาวลาวอพยบ ได้สร้างบ้านเรือนลักษณะติดกันจำนวน สี่ห้อง แต่ไม่นานก็ถูกไฟใหม้หมด ขุนกำแหงให้โหรมาดู และทำนายว่ามีทางแก้ให้ดีได้ โดยจะต้องปลูกห้องให้มีจำนวน เก้าห้อง  และต้องสร้าง ศาลเจ้าปู่บ้านย่าเมือง  ไว้สักการะบูชา ขุนกำแหงได้สร้างบ้านตามคำโหรและสร้างศาลไว้บูชา จากนั้นเป็นต้นมาผู้คนที่แห่งนี้ก็อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขสืบต่อกันมานับร้อยปี

หอดูโจร
   ในตลาดเก้าห้อง เป็นหอที่ก่ออิฐถือปูนกว้าง 3x3 เมตร สูงราว 4 ตึก 4 ชั้น สร้างเมื่อ พ.ศ. 2477 ชั้นบนเป็นดาดฟ้า แต่ละชั้นฝาผนังเจาะรูโตขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 นิ้ว เมื่อขึ้นไปบนยอดสุดจะมองเห็นทัศนียภาพ ทั้งทางบกและทางน้ำของตลาดเก้าห้องได้ทั้งหมด เหตุที่สร้างป้อมขึ้นมาเพราะในระยะนั้นพวกโจรหรือที่เรียกว่า “เสือ”
หลายคนออกปล้นฆ่าตามริมน้ำท่าจีนเสมอ จึงได้สร้างป้อมไว้สังเกตการณ์และมีการเตรียมการป้องกันการปล้นสะดมของเสือทั้งหลายด้วย ถ้าเสือมาคนจะขึ้นไปประจำอยู่ในป้อมตามชั้นต่างๆเอาปืนส่องยิงตามรูทั้ง 4 ด้านของป้อม เพื่อต่อสู้กับเสือที่มาปล้น 




   หลายคนคงจะรับทราบอยู่แล้วว่าชื่อ “บ้านเก้าห้อง” เป็นชื่อของบ้านเรือนหลังหนึ่งซึ่งในปัจจุบันตั้งอยู่ทางฝั่งซ้ายหรือฝั่งตะวันออกของแม่น้ำท่าจีนติดกับวัดลานคาทางทิศใต้ คือบ้านเลขที่ ๔ หมู่ ๓ ตำบลโคกคราม อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นบ้านที่ขุนกำแหง (ชื่อเดิมคือ “วันดี”) ผู้นำชุมชนชาวพวนกลุ่มหนึ่งที่อพยพมาจากเมืองเชียงขวาง เมืองเวียงจันทน์ อาณาจักรล้านช้าง หรืออาณาจักรลาวในอดีต (ปัจจุบันชื่อ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว) ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๓๗๐ เป็นผู้สร้างขึ้นตามคำทำนายของโหรว่าต้องปลูกบ้านเป็น ๙ ห้องแทนการปลูกบ้านเป็น ๓ ห้อง หรือ ๔ ห้องตามแบบเดิมซึ่งได้เกิดเพลิงไหม้เผาผลาญจนหมดสิ้นถึงสามครั้ง ซึ่งขุนกำแหงมีบทบาทสำคัญในการปกครองชุมชนชาวพวนในท้องถิ่นที่เป็นประโยชน์ต่อทางราชการของประเทศสยามในสมัยนั้น อย่างไรก็ตาม คาดว่ายังคงมีอีกหลายท่านที่อาจต้องการความชัดเจนเพิ่มเติมว่า ลักษณะของบ้านเป็นอย่างไรหรือจึงเรียกว่า “บ้านเก้าห้อง” (สำเนียงภาษาพวนออกเสียงว่า “บ๊านเก๊าฮ้อง”)
   ลักษณะของบ้านที่เรียกว่า “บ้านเก้าห้อง”
บ้านเก้าห้องของขุนกำแหงในส่วนที่เป็นบริเวณเรือนหลักดั้งเดิมซึ่งยังคงลักษณะเดิมอยู่ในปัจจุบัน เป็นบ้านแบบเรือนไทยไม้สักหลังคาทรงจั่วปั้นหยา ใต้ถุนสูง ขนาดกว้างรวม ๗.๗๕ เมตร (ส่วนกว้างนี้แบ่งเป็น ๒ ระดับๆ แรกกว้าง ๕ เมตร เป็นส่วนภายในของเรือนสำหรับการพักอาศัย และระดับที่สองเป็นส่วนระเบียงของบ้านต่ำกว่าระดับแรกประมาณ ๓๐ เซนติเมตรกว้างประมาณ ๒.๗๕ เมตร) และยาว ๒๐.๕๐ เมตร โดยความยาวของบ้านขนานกับแม่น้ำท่าจีน และหันหน้าบ้านไปทางแม่น้ำ แนวความยาวของบ้านมีเสาบ้านเรียงอยู่ ๑๐ แถว ซึ่งแนวเสา ๒ แถวจะถือว่าเป็น ๑ ช่องเสาหรือ ๑ ห้อง (ห้องหนึ่งกว้างประมาณ ๒.๒๕ เมตร) ถ้ามีแนวเสา ๔ แถว จะเรียกว่า บ้านมี ๓ ช่องเสาหรือ ๓ ห้อง ดังนั้น บ้านที่มีแนวเสา ๑๐ แถว จึงเรียกว่าบ้านมี ๙ ช่องเสา หรือบ้าน ๙ ห้อง ดังนั้น บ้านเรือนไทยหลังที่ขุนกำแหงสร้างดังกล่าวมีเสา ๑๐ แถว จะมี ๙ ช่องเสา จึงเรียกชื่อว่า “บ้านเก้าห้อง” (ซึ่งไม่ปรากฏชัดเจนว่ามีการปลูกสร้างบ้านเรือนที่มีความยาวลักษณะนี้ทั้งในอดีตและปัจจุบันที่ใดบ้าง) ด้วยเหตุผลข้างต้นน่าจะช่วยสร้างความเข้าใจได้ว่าที่เรียกว่า ”บ้านเก้าห้อง” นั้นมิใช่เพราะภายในบ้านมีการแบ่งเป็นห้องๆถึง ๙ ห้องแต่ประการใด